ใครที่เคยเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปวิทยาคงเคยสังเกตว่า “ทำไมรูปปั้นกรีกโบราณเพศชายถึงมีขนาดอวัยวะเพศหรือเครื่องเพศที่เล็กกว่าความเป็นจริงทุกตัว” อ่านในหนังสือเรียนก็ไม่เจอคำตอบ ทีนี้เองก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน เลยไปค้นหาคำตอบเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจังมาฝากทุกคน บอกเลยว่า รู้แล้วมีอึ้งแน่นอน
แอนดรูว์ เลียร์ (Andrew Lear) นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอเมริกันชื่อดัง ได้เผยคำตอบของคำถามดังกล่าว กับช่อง YouTube ชื่อว่า “Paideia Media” เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เขาระบุว่า เหตุผลที่นักประติมากรรมในสมัยยุคกรีกโบราณมักปั้นรูปเพศชายให้มีอวัยวะเพศเล็กถึงเล็กมาก เมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนจริง ๆ ของคน นั่นก็เพราะว่า ในอดีตกาลย้อนกลับไปราว 400 ปีก่อนคริสตกาล มนุษย์ในยุคนั้นมีค่านิยมเรื่องรูปร่างที่แตกต่างจากตอนนี้
ปัจจุบันมนุษย์เพศชายหากมีอวัยวะเพศที่ใหญ่โต ทุกคนจะยอมรับว่าเป็นยอดชายและมีเสน่ห์ทางเพศมาก เรียกว่าป๊อบทั้งในหมู่ผู้ชายและผู้หญิงเลยเชียวล่ะ แต่ในทางกลับกันสมัยยุคกรีกโบราณ ผู้ชายที่เพอร์เฟ็กต์จะต้องมีลักษณะเหมือนกับรูปปั้นกรีกอย่างที่เราเห็น ขนาดที่ว่ามีการบันทึกรูปร่างหน้าตาของผู้ชายยุคกรีกในอุดมคติไว้ในบทละคร “The Clouds” ซึ่งประพันธ์โดย “อริสโตฟาเนส (Aristophanes)” เมื่อปี 419-423 ก่อนคริสตกาล ระบุว่า “หน้าอกผู้ชายต้องเปล่งประกาย, ผิวกระจ่างใส, ไหล่กว้าง, ลิ้นเล็ก, บั้นท้ายแข็งแรง และมีอวัยวะเพศเล็กหน่อย”
นอกจากผู้ชายยุคกรีกโบราณมีอวัยวะเพศเล็กแล้วจะดูดีเป็นชายชาตรีร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ขนาดของอวัยวะเพศยังสะท้อนความมีคุณธรรมและความฉลาดของพวกเขาด้วย โดยพวกเขาเชื่อว่า ยิ่งตรงนั้นเล็กก็ยิ่งฉลาด! ผู้ชายที่มีลักษณะแบบนี้จะไม่หมกมุ่นเรื่องเพศ เพราะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์
ในขณะที่ผู้ชายยุคกรีก ซึ่งมีอวัยวะเพศใหญ่จะถูกมองว่า เป็นผู้มีสติปัญญาต่ำ, ลุ่มหลงในตัณหาราคะ, ดิบเถื่อน และดูเป็นสัตว์ประหลาดมากกว่ามนุษย์ เพราะเครื่องเพศที่ใหญ่โตมโหฬารมักใช้กับรูปปั้นของปีศาจ, ซาตาน หรือกลุ่มคนที่ยังไม่เจริญ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป รสนิยมเรื่องเพศและรูปร่างหน้าตาของคนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน โดยคนในยุคสมัยใหม่มักจะมองว่าการมีขนาดอวัยวะเพศที่ใหญ่จะช่วยตอบสนองในเรื่องเพศได้มากกว่า เพราะภาพจำจากหนังผู้ใหญ่ที่มักจะนิยมนำเสนอภาพของผู้ชายที่มีไอนั่นใหญ่โตมโหฬารนั่นเอง
ที่มาข้อมูล: IFLScience