1.ล้างหน้าด้วยจำนวนครั้งที่เหมาะสม
สำหรับวิธีกระชับรูขุมขนวิธีแรกก็คือ การล้างหน้าในจำนวนครั้งที่เหมาะสมนั่นก็คือ วันละ 2 ครั้ง ในช่วงตื่นนอนตอนเช้า และตอนกลางคืนในช่วงที่อาบน้ำหลังจากกลับมาทำงาน ปาร์ตี้ หรือทำกิจกรรมที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน โดยวิธีรักษารูขุมขนกว้างนี้ เป็นวิธีเบสิคที่ช่วยล้างคราบสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อุดตันรูขุมขนออกไป และในการล้างหน้าทั้ง 2 เวลานี้ก็ควรใช้น้ำอุณภูมิห้องปกติหรือค่อนไปทางน้ำเย็นเพื่อเป็นการกระชับรูขุมขนให้เล็กลง
2.ใช้น้ำแข็งสะอาดประคบ
วิธีฟื้นฟูผิวหน้าของคนที่มีรูขุมขนกว้างวิธีต่อมาคือ การใช้ความเย็นอย่างน้ำแข็งก้อนประคบใบหน้า แต่ก็ต้องเป็นน้ำแข็งที่มั่นใจว่าสะอาด และดีที่สุดก็ควรเป็นน้ำแข็งที่ทำด้วยตัวเอง โดยวิธีกระชับรูขุมขนนี้ เพียงแค่นำน้ำแข็งมาถูโซนต่าง ๆ ของใบหน้าประมาณ 30 – 45 วินาที ซึ่งสามารถทำได้เป็นประจำทั้งตอนเช้าหรือก่อนนอน และหลังจากประคบน้ำแข็งบนใบหน้าแล้วก็อย่าลืมล้างหน้าด้วยน้ำอุณภูมิห้องเช่นเดิม
3.พอกหน้าด้วยมะนาว – ดินสอพอง
ใครที่พอมีเวลาและต้องการหาตัวช่วยที่มาจากธรรมชาติขอแนะนำสูตรมะนาว – ดินสอพองเพียงแค่ใช้น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะและดินสอพอง คนจนเนื้อละเอียดและนำส่วนผสมทั้งหมดมาพอกทาให้ทั่วบริเวณใบหน้าทิ้งไว้สักประมาณ 15 – 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุนหภูมิห้องหรือน้ำเย็น ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง จะสังเกตเห็นได้ว่ารูขุมขนที่เคยกว้างจะค่อย ๆ เล็กลง อู้ว!! เป็นวิธีกระชับรูขุมขนที่ดูทำง่ายและน่าสนใจจริง ๆ
4.สครับผิวหน้า
วิธีฟื้นฟูผิวหน้าวิธีนี้ เป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อลดการอุดตันที่ก่อให้เกิดการขยายตัวของรูขุมขน และในการผลัดเซลล์หรือสครับผิวก็สามารถทำได้อย่างเป็นประจำประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วนวิธีที่ง่ายและไม่ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากก็คือ นำเกลือทะเลมาผสมกับโยเกิร์ต (จำเป็นต้องเป็นเกลือที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ) จากนั้นให้นำมาทาให้ทั่วใบหน้าพร้อมกับใช้ปลายนิ้วนวดเป็นวงกลมเบา ๆ ประมาณ 3-5 นาที นวดเสร็จก็ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยอุณหภูมิห้อง รับรองเลยว่าวิธีกระชับรูขุมขนนี้เวิร์คจริง
5.Say no!! อาหารที่มีไขมัน
วิธีฟื้นฟูผิวหน้าอีกหนึ่งวิธี คือ ลดอาหารที่มีไขมัน เพราะหนึ่งในสาเหตุของผิวหน้าที่มีรูขุมขนกว้างเกิดจากการอุดตันของไขมัน และส่วนสำคัญก็มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เช่น อาหารทอด อาหารฟาสต์ฟู้ด หนังสัตว์ ฯลฯ ซึ่งใครที่รู้ตัวว่ามีพฤติกรรมที่ชอบทานอาหารเหล่านี้ เป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในสัดส่วนที่น้อยลง และลองหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเช่น ผัก / ผลไม้สด เนื้อปลา รวมถึงเปลี่ยนกรรมวิธีในการปรุงอาหารเป็นต้มหรือนึ่งแทน